วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555






ภูเก็ต...ดินแดนเนรมิต









 ภูเก็ต เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ตั้งอยู่ห่าง จากกรุงเทพฯ 862 กม. เป็นเกาะเดียวที่มีฐานะเป็น จังหวัด คำว่าภูเก็ตมาจาก "ภูเก็จ" ซึ่งมีความหมายว่าภูเขา แก้ว ได้รับสมญานามว่า มุกงามของไทย เป็นเกาะที่มีชื่อ เสียงมาแต่โบราณ เคยเป็นดินแดนแห่งเศรษฐีเหมืองแร่ดีบุก มีแร่ดีบุกมากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งการขุดแร่ดีบุกที่ภูเก็ต มีประวัติความเป็นมากว่า 500 ปีแล้ว นอกจากนี้ยังมีการ ปลูกยางพารา ทำสวนมะพร้าว สวนผลไม้ และทำการ ประมง ในตัวเมืองภูเก็ตยังสามารถพบตึกสมัยเก่าแบบยุโรปที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ ภูเก็ตเป็นเกาะที่สวยงาม มีชาย ทะเลและขุนเขาที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง มีเกาะบริวารรายรอบถึง 39 เกาะ มีพื้นที่ 543 ตรกม. เล็ก ที่สุดในภาคใต้ มีอาณาเขตเขตติดต่อกับพังงาทางด้านทิศเหนือที่ช่องปากพระซึ่งกว้างประมาณ 490 เมตร มีสะพานสาร สินเชื่อมระหว่างท่าฉัตรชัยของภูเก็ตกับท่านุ่นของพังงายาว 660 เมตร
       ประชากรของจังหวัดภูเก็ตส่วนใหญ่เป็นคนไทย นอกนั้นมีชาวมลายู แขก ซิกซ์ ปาทานกลิงค์กรูซ่า ชาวเล และชาวต่างชาติอื่นๆ ภาษาที่ใช้ในภูเก็ตมี 2 ภาษา คือ ภาษาไทย ซึ่งใช้ในราชการเป็นภาษากลาง และภาษาท้องถิ่น ซึ่งเป็นภาษาปักษ์ใต้ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง อาชีพของพลเมืองในด้านการเกษตรส่วนใหญ่ทำสวนยางพารา สวนมะพร้าว สวนผลไม้
       
action.gif (910 bytes) อาณาเขต

ทิศเหนือ จดช่องปากพระ จังหวัดพังงา เชื่อมโดยสะพานสารสินและสะพานท้าวเทพกษัตรีย์
ทิศใต้ จดทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย
ทิศตะวันออก จดทะเลเขตจังหวัดพังงา
ทิศตะวันตก จดทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย
      
action.gif (910 bytes) การปกครอง

จังหวัดภูเก็ตแบ่งการปกครองออกเป็น 3 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอถลาง และอำเภอกะทู้
      
action.gif (910 bytes) ภูมิอากาศ

มีภูมิอากาศแบบฝนเมืองร้อนมีลมพัดผ่านตลอดเวลา อากาศอบอุ่นและชุ่มชื้นตลอดปี มี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อนและฤดูฝน ฤดูฝนเริ่มเดือนพฤษภาคม - ปลายเดือนตุลาคม ฤดูร้อนเริ่มประมาณเดือนพฤศจิกายน - เดือนเมษายน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยสูงสุดประมาณ 33 อาศาเซลเซียส ต่ำสุด 23 องศาเซลเซียส ช่วงที่อากาศดีที่สุด อยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน - เมษายน ไม่มีฝน ท้องฟ้าแจ่มใส อุณหภูมิประมาณ 31 องศาเซลเซียส
          





  ภูเก็ต หรือที่เคยรู้จักแต่โบราณในนาม เมืองถลาง เป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศไทยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างจากจังหวัดอื่นโดยสิ้นเชิง คือเป็นเกาะซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ภูเก็ต มีจังหวัดที่ใกล้เคียงทางทิศเหนือ คือ จังหวัดพังงาทางทิศตะวันออก คือ จังหวัดพังงาและจังหวัดกระบี่ทั้งเกาะล้อมรอบด้วยทะเลอันดามันและยังมีเกาะที่อยู่ในอาณาเขตของจังหวัดภูเก็ตทางทิศใต้และตะวันออก
การเดินทางเข้าสู่ภูเก็ตนอกจากทางเรือแล้ว สามารถเดินทางโดยรถยนต์ซึ่งมีเพียงเส้นทางเดียวผ่านทางจังหวัดพังงา ข้ามสะพานสารสินและสะพานคู่ขนาน คือสะพานท้าวเทพกระษัตรีเข้าสู่ตัวจังหวัด และทางอากาศซึ่งมีท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตรองรับ ท่าอากาศยานนี้ตั้งอยู่ทางเหนือของเกาะ ด้านทิศตะวันตก
       เดิมคำว่า ภูเก็ต นั้นใช้คำว่า ภูเก็จ อันแปลว่าเมืองแก้ว ตรงกับความหมายเดิมซึ่งชาวทมิฬเรียก มณีคราม ตามหลักฐาน พ.ศ. 1568ภูเก็ตเป็นที่รู้จักของนักเดินเรือที่ใช้เส้นทางระหว่างจีนกับอินเดียโดยผ่านแหลมมลายู หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดก็คือ หนังสือภูมิศาสตร์และแผนที่เดินเรือของปโตเลมีเมื่อประมาณ พ.ศ. 700กล่าวถึงการเดินทางจากแหลมสุวรรณภูมิลงมาจนถึงแหลมมลายูซึ่งต้องผ่านแหลม จังซีลอน หรือเกาะภูเก็ตนั่นเอง
       จากประวัติศาสตร์ไทยภูเก็ตเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรตามพรลิงก์ต่อมาจนถึงสมัยอาณาจักรศิริธรรมนครเรียกเกาะภูเก็ตว่า เมืองตะกั่วถลาง เป็นเมืองที่ 11 ใน 12 เมืองนักษัตรโดยใช้ตราเป็นรูปสุนัข จนถึงสมัยสุโขทัยเมืองถลางไปขึ้นกับเมืองตะกั่วป่าในสมัยอยุธยาชาวฮอลันดามาสร้างสถานที่เก็บสินค้าเพื่อรับซื้อแร่ดีบุกจากเมืองภูเก็ตในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้เกิดสงครามเก้าทัพขึ้น พระเจ้าปดุงกษัตริย์ของประเทศพม่าในสมัยนั้น ได้ให้แม่ทัพยกทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้เช่นไชยา นครศรีธรรมราช และให้ยี่หวุ่นนำกำลังทัพเรือพล ๓,๐๐๐ คนเข้าตีเมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่งและเมืองถลาง ซึ่งขณะนั้นเจ้าเมืองถลาง (พญาพิมลอัยาขัน) เพิ่งถึงแก่อนิจกรรม ท่านผู้หญิงจัน ผู้ภรรยา และคุณมุก น้องสาว จึงรวบรวมกำลังต่อสู้กับพม่าจนชนะเมื่อวันที่ 13 มีนาคมพ.ศ. 2328พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงจันเป็น ท้าวเทพกระษัตรีและคุณมุกเป็นท้าวศรีสุนทร
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รวบรวมหัวเมืองชายทะเลตะวันตกตั้งเป็น มณฑลภูเก็จ และเมื่อปี พ.ศ. 2476ได้ยกเลิกระบบมณฑลเทศาภิบาลเปลี่ยนมาเป็น จังหวัดภูเก็ต จนถึงปัจจุบัน


ป่าตอง.....หาดสวย....น้ำใส







หาดป่าตอง ภูเก็ต

เป็นชายหาดที่มีชื้อเสียงมากที่สุดของเกาะภูเก็ต และยังเป็นสถานที่ผักผ่อนที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาผักผ่อนตลอดทั้งปีอีกด้วย ภายในบริเวณมี่บ้านพัก โรงแรม บริษัทนำเที่ยว ร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งบันเทิงยามค่ำคืนไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยว ที่อาจจะเรียกได้ว่า เป็นสถานที่ท่องเที่ยว 24 ชม. เลยก็ว่าได้ ณ บริเวณชายหาดยังมีหาดทรายขาวละเอียด เหมาะสำหรับเล่นน้ำทะเล และยังมีกิจกรรมทางทะเล ไม่ว่าจะเป็น เจสกี สปีดโบท และอื่นๆอีกมากมาย ไว้สำหรับรองรับนักท่องเที่ยว อย่างครบครัน












จุดเด่น
- เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากที่สุดของภูเก็ต
- บริเวณหาดมีเม็ดทรายสีขาวละเอียด
- มีแหล่งช๊อปปิ้ง ร้านอาหาร แพ็คเกจทัวร์ สปา ทั้งขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก
- มีโรงแรมรองรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก
- มีกิจกรรมท่องเที่ยวตามชายหาดทุกรูปแบบ
- สามารถเดินทางข้ามไปยัง หาดพาราไดส์ ภูเก็ต ได้ เพียงไม่กี่นาที เนื่องจากเป็นหาดที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน
- มีแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีสำหรับนักท่องเที่ยวทุกรูปแบบและเป็นจำนวนมาก
- มีจุดรับส่งนักท่องเที่ยวหรือแท็กซี่บริการนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก
จุดด้อย
- ที่จอดรถมีจำนวนมากแต่ก็ยังไม่ยังไม่พอสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมาก
- ช่วงเทศกาลพิเศษจะมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นมาก
การเดินทาง
การเดินทางมายังหาดป่าตองสามารถมาถึงได้จากสามทางหลัก หากเดินทางมาจากตัวเมืองโดยนับจาก"สนามกีฬาสุระกุลภูเก็ต" จะใช้เวลา ประมาณ 25 นาที หรืออีกเส้นทางที่สองสามารถเดินทางจากหาดกะรนจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที และอีกเส้นทางที่สามสามารถเดินทาง มาจากหาดกมลาโดยจะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเช่นกัน โดยทั้งสามทางสามารถเดินทางไปถึงหาดได้ทั้งรถยนต์และ รถจักรยานยนต์












เที่ยวสนุก...พักผ่อนอย่างมีความสุข...ที่หาดกมลา

 
         

 เมื่อพูดถึงเมืองท่องเที่ยวอย่าง "ภูเก็ต" เชื่อว่าทุกคนคงต้องรู้สึกตื่นเต้นเป็นแน่ ถ้ารู้ว่าจะได้ไปเยือนจังหวัดที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามท่ามกลางธรรมชาติ... หาดทรายขาวๆ น้ำทะเลสีฟ้าใส บนเกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่มีพื้นที่ประมาณ 543 ตารางกิโลเมตร

        




 "หาดกมลา"คืออีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในจังหวัดภูเก็ต อยู่ในอำเภอกะทู้ ห่างจากตัวเมืองภูเก็ต 26 กิโลเมตร อยู่ถัดลงมาทางใต้ของหาดสุรินทร์ เป็นหาดทรายยาวประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นชายหาดที่สงบน่าพักผ่อน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมาพักผ่อนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ที่เหนือหาดยังมีที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย 


        




 อย่างไรก็ตาม ที่หาดกมลาแห่งนี้ยังมีที่เที่ยวแห่งหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด คือ ภูเก็ตแฟนตาซี ซึ่งเป็นแหล่งบันเทิงยามราตรี มีการนำเสนอศิลปวัฒนธรรมไทย ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ภายในบริเวณตกแต่งเหมือนสวนสนุก คุณจะได้พบกับสีสันแห่งความรื่นเริงพร้อมบันเทิงที่รับรองว่าต้องประทับใจ มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ห้องเกมส์ และการแสดงจินตมายาในวังไอยรา ซึ่งเป็นการแสดงที่นำเอกลักษณ์ไทยทั้งด้านวรรณคดี วิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม มาผสมผสานได้อย่างวิจิตรตระการตา... แค่คิดก็ตื่นตาตื่นใจ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ไปเที่ยวได้ยังไงล่ะคะ 




การเดินทางไปจังหวัดภูเก็ต


รถยนต์ 
          จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางสายธนบุรี - ปากท่อ (ทางหลวงหมายเลข 35) แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่านจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง บ้านโคกกลอย จังหวัดพังงา ข้ามสะพานสารสิน เข้าจังหวัดภูเก็ต หรืออีกเส้นทางหนึ่งจากชุมพร ไประนอง พังงา ภูเก็ต รวมระยะทางจากกรุงเทพฯ 862 กิโลเมตร

รถโดยสารประจำทาง 
          บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถโดยสารทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ไปภูเก็ตทุกวัน สอบถามรายละเอียด โทร. 0-2434-7192, 0-2435-5605, 0-2435-1199 (รถปรับอากาศ) และโทร.0-2434-5557-8 (รถธรรมดา)

เครื่องบิน

          มีบริการเที่ยวบินระหว่าง กรุงเทพฯ - ภูเก็ต ทุกวัน สามารถสอบถามตารางบิน และข้อมูลเพิ่มเติมที่สายการบินต่างๆ





การเดินทางไปยังหาดกมลา  

          จากอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทร เลี้ยวซ้ายผ่านหาดสุรินทร์ แหลมสิงห์ ก็จะถึงหาดกมลา ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 26 กิโลเมตร

          ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ TAT CALL CENTER โทร. 1672 (บริการทุกวัน เวลา 8.00 - 20.00 น.) ฃ

วัดฉลอง (วัดไชยธาราราม)

วัดฉลอง (วัดไชยธาราราม)



วัดฉลอง (วัดไชยธาราราม)

ชื่อเดิมว่า วัดฉลอง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2360 ต่อมาได้ เปลี่ยนชื่อเป็น วัดไชยธาราราม วัดนี้มีมาตั้งแต่สมัยใด ไม่ปรากฏหลักฐาน เดิมทีวัดนี้ตั้งอยู่บริเวณด้านทิศเหนือ ของวัด ซึ่งมีหลักฐานปรากฏคือ พระพุทธรูปเก่าแก่ที่ ชาวบ้านเรียกว่าหลวงพ่อเจ้าวัด หรือพ่อท่านนอกนา การย้ายวัดมาตั้งในที่ปัจจุบันนั้นได้ย้ายมาในสมัยของ พ่อท่านเฒ่า ซึ่งเป็นอาจารย์วิปัสสนาของ หลวงพ่อแช่ม (พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี) และได้เป็นเจ้าอาวาส จนถึง พ.ศ. 2451 พ่อท่านช่วง (พระครูกิจจานุการ) ได้ เป็นเจ้าอาวาสจนถึง พ.ศ. 2488 ต่อมา พ่อท่านเกลื้อม (พระครูครุกิจจานุการ) ได้เป็นเจ้าอาวาสต่อมา จนถึง พ.ศ.2522 และเจ้าอาวาสวัดฉลององค์ปัจจุบัน คือพ่อ ท่านหลิม


วัดฉลองเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในสมัยพ่อท่านแช่ม ในคราว กบฏอั้งยี่ซึ่งเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2419 ชาวบ้านได้รับกำลังใจ จากท่าน โดยการได้รับผ้าประเจียดให้โพกศีรษะคนละผืน จนสามารถสู้กับพวกอั้งยี่ได้และยอมแพ้ไปในที่สุด จาก เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ท่านได้รับพระราชทาน สมณศักดิ์ เป็นพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี ตำแหน่ง สังฆปาโมกข์ เมืองภูเก็ต และทรงพระราชทานนาม วัดฉลองเป็นวัดไชยธาราราม วัดฉลองเป็นวัดที่มีชื่อเสียง เพราะความเคารพศรัทธาในพ่อท่านแช่มและมักนิยม บนบานให้หายเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านเป็นพระที่มีคนมาติด ทองที่ตัวท่านตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังรับ รักษาผู้ป่วยเกี่ยวกับกระดูก เช่น กระดูกหัก กระดูกเคลื่อน โดยการต่อกระดูกจนเป็นที่เลื่องลือของชาวภูเก็ตและ จังหวัดใกล้เคียง ส่วนไม้เท้าของท่านยังมีอานุภาพ สามารถจี้ปาน ฝี ต่างๆ ทำให้อาการต่างๆไม่ลุกลาม และหายไปในที่สุด ไม้เท้าของท่านยังได้ใช้รักษาผู้ป่วย จากทั่วสารทิศมาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2542 สมเด็จพระสังฆราชได้ประทาน พระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ตามคำกราบบังคมทูลขอของคุณอัญชลี วานิช เทพบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ต เพื่ออัญเชิญมา ประดิษฐาน ณ วัดไชยธาราราม และพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรม โอรสาธิราช สยามกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินมาทรง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระมหาธาตุเจดีย์ พระจอมไทย บารมีประกาศ ณ วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง) เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2545 





วัดพระนางสร้าง




วัดพระนางสร้าง



วัดพระนางสร้าง

วัดพระนางสร้างเป็นวัดประจำอำเภอถลาง ตั้งอยู่เลขที่ 184 บ้านตะเคียน หมู่ที่ 1 ถนนเทพกระษัตรี ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต สังกัดคณะสงฆ์นิกายมหานิกาย มีเนื้อที่ 19 ไร่ 1 งาน 79 ตารางวา สค.1 เลขที่ 149 เป็นพื้นที่ธรณีสงฆ์ 84 ไร่ 1 งาน 21 ตารางวา มีอุโบสถ 2 หลัง

อุโบสถหลังเก่า

กว้าง 9.50 เมตร ยาว 17.50 เมตร บูรณะมาแล้วหลายครั้ง ภายในโบสถ์มีพระประธาน ปางสมาธิจำนวน 3 องค์ ซึ่งจากด้านหลังของพระพุทธรูป ทั้งสามองค์มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ยาว 3.50 เมตร เล่ากันว่ามีพระพุทธรูปทองคำอยู่ภายในองค์พระ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์

ปัจจุบันโบสถ์หลังเก่านี้กรมศิลปากรได้ประกาศ ขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ไว้เป็นโบราณสถานของชาติแล้ว

อุโบสถหลังใหม่

กว้าง 16 เมตร ยาว 24 เมตร วัดพระนางสร้าง สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2301 เกี่ยวข้องกับ ตำนานนางเลือดขาว เมืองนครศรีธรรมราช ที่เล่าสืบต่อกันมาว่านางเลือดขาวเป็นภรรยา เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ถูกเสนาบดีกลั่นแกล้ง ใส่ร้าย กล่าวหาว่าเป็นชู้กับมหาดเล็กโทษจะต้อง ประหารชีวิต แต่พระนางได้ขอผ่อนผันให้ไปนมัสการ พระบรมธาตุที่ศรีลังกาก่อน หลังจากนั้นจะกลับ มารับโทษประหารชีวิต ขากลับจากนมัสการ พระบรมธาตุพระนางได้แวะที่เกาะถลาง และสร้างวัด ขึ้นไว้แล้วเดินทางกลับไปรับโทษประหารชีวิต โลหิต ของประนางที่ไหลออกมามีสีขาวเป็นที่อัศจรรย์ จึงพากันเรียกพระนางว่า พระนาง เลือดขาว ส่วนวัดที่พระนางสร้างไว้เมื่อแวะที่เกาะถลางเรียกกันว่า วัดพระนางสร้าง แต่ชาวบ้านนิยมเรียกสั้นๆ ว่า วัดนางสร้าง



วัดพระทอง (วัดพระผุด)


วัดพระทอง (วัดพระผุด)


วัดพระทอง (วัดพระผุด)


วัดพระทอง ตั้งอยู่ที่ถนนเทพกระษัตรี ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต สิ่งที่สำคัญที่สุดของวัดนี้คือ พระทองหรือพระผุด ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารมีลักษณะ เป็นพระครึ่งองค์ ซึ่งประวัติความเป็นมาของวัดพระทอง และหลวงพ่อพระทอง หรือพระผุด มีดังนี้


เดิมที่สถานที่ที่ตั้งในปัจจุบันเป็นทุ่งกว้าง มีนา มีคลอง มีหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ ชาวบ้านเรียกว่าทุ่งนา นี้ว่า ทุ่งนาใน วันหนึ่งมีเด็กชายนำกระบือไปเลี้ยงที่ทุ่งนา ได้นำเชือกล่ามกระบือไปผูกไว้กับตอไม้ริมคลองที่มีโคลน ตมติดอยู่ แล้วเด็กชายคนนั้นก็กลับบ้านเกิดอาการ เป็นลมตายและกระบือที่ล่ามไว้กับตอไม้ก็ตายด้วยกัน ต่อมาพ่อของเด็กชายคนนั้นก็ฝันว่าการที่เด็กและกระบือตาย เพราะเด็กนำเชือกล่ามกระบือไปผูกไว้กับเกศพระพุทธรูป พ่อของเด็กชายคนนั้นก็ชวนเพื่อนบ้านไปขัดล้างตอไม้ริม คลองนั้น จึ่งเห็นเป็นลักษณะเหมือนเกศพระพุทธรูปและ เป็นทองคำ ชาวบ้านต่างพากันมาบูชาสักการะกันมากมาย เมื่อเจ้าเมืองทราบก็สั่งให้ทำการขุดพระพุทธรูปขึ้นมา ประดิษฐานไว้บูชา แต่ไม่สามารถขุดขึ้นมาได้เพราะบางคน ถูกตัวต่อ ตัวแตนอาละวาดเป็นพิษถึงแก่ความตาย เจ้าเมืองจึงสั่งให้ทำที่มุง ที่บังเป็นสถานที่กราบไหว้เรื่อยมา ชาวบ้านจึงเรียกว่ากันพระผุด เพราะเป็นพระพุทธรูปที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน เพียงพระเกศมาลา สูงประมาณ 1 ศอก ส่วนคนจีนเรียกว่า พระผุดว่า ภูปุ๊ค (พู่ฮุก) เพราะชาวจีนเชื่อกันว่าเป็นพระผุดมา จากเมืองจีน เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน คนจีนในภูเก็ต พังงา ตะกั่วป่า ท้ายเหมือง และกระบี่ จะพากันมานมัสการพระผุด เป็นประจำจนถึงทุกวันนี้