วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555


วัดฉลอง (วัดไชยธาราราม)

วัดฉลอง (วัดไชยธาราราม)



วัดฉลอง (วัดไชยธาราราม)

ชื่อเดิมว่า วัดฉลอง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2360 ต่อมาได้ เปลี่ยนชื่อเป็น วัดไชยธาราราม วัดนี้มีมาตั้งแต่สมัยใด ไม่ปรากฏหลักฐาน เดิมทีวัดนี้ตั้งอยู่บริเวณด้านทิศเหนือ ของวัด ซึ่งมีหลักฐานปรากฏคือ พระพุทธรูปเก่าแก่ที่ ชาวบ้านเรียกว่าหลวงพ่อเจ้าวัด หรือพ่อท่านนอกนา การย้ายวัดมาตั้งในที่ปัจจุบันนั้นได้ย้ายมาในสมัยของ พ่อท่านเฒ่า ซึ่งเป็นอาจารย์วิปัสสนาของ หลวงพ่อแช่ม (พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี) และได้เป็นเจ้าอาวาส จนถึง พ.ศ. 2451 พ่อท่านช่วง (พระครูกิจจานุการ) ได้ เป็นเจ้าอาวาสจนถึง พ.ศ. 2488 ต่อมา พ่อท่านเกลื้อม (พระครูครุกิจจานุการ) ได้เป็นเจ้าอาวาสต่อมา จนถึง พ.ศ.2522 และเจ้าอาวาสวัดฉลององค์ปัจจุบัน คือพ่อ ท่านหลิม


วัดฉลองเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในสมัยพ่อท่านแช่ม ในคราว กบฏอั้งยี่ซึ่งเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2419 ชาวบ้านได้รับกำลังใจ จากท่าน โดยการได้รับผ้าประเจียดให้โพกศีรษะคนละผืน จนสามารถสู้กับพวกอั้งยี่ได้และยอมแพ้ไปในที่สุด จาก เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ท่านได้รับพระราชทาน สมณศักดิ์ เป็นพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี ตำแหน่ง สังฆปาโมกข์ เมืองภูเก็ต และทรงพระราชทานนาม วัดฉลองเป็นวัดไชยธาราราม วัดฉลองเป็นวัดที่มีชื่อเสียง เพราะความเคารพศรัทธาในพ่อท่านแช่มและมักนิยม บนบานให้หายเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านเป็นพระที่มีคนมาติด ทองที่ตัวท่านตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังรับ รักษาผู้ป่วยเกี่ยวกับกระดูก เช่น กระดูกหัก กระดูกเคลื่อน โดยการต่อกระดูกจนเป็นที่เลื่องลือของชาวภูเก็ตและ จังหวัดใกล้เคียง ส่วนไม้เท้าของท่านยังมีอานุภาพ สามารถจี้ปาน ฝี ต่างๆ ทำให้อาการต่างๆไม่ลุกลาม และหายไปในที่สุด ไม้เท้าของท่านยังได้ใช้รักษาผู้ป่วย จากทั่วสารทิศมาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2542 สมเด็จพระสังฆราชได้ประทาน พระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ตามคำกราบบังคมทูลขอของคุณอัญชลี วานิช เทพบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ต เพื่ออัญเชิญมา ประดิษฐาน ณ วัดไชยธาราราม และพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรม โอรสาธิราช สยามกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินมาทรง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระมหาธาตุเจดีย์ พระจอมไทย บารมีประกาศ ณ วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง) เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2545 





วัดพระนางสร้าง




วัดพระนางสร้าง



วัดพระนางสร้าง

วัดพระนางสร้างเป็นวัดประจำอำเภอถลาง ตั้งอยู่เลขที่ 184 บ้านตะเคียน หมู่ที่ 1 ถนนเทพกระษัตรี ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต สังกัดคณะสงฆ์นิกายมหานิกาย มีเนื้อที่ 19 ไร่ 1 งาน 79 ตารางวา สค.1 เลขที่ 149 เป็นพื้นที่ธรณีสงฆ์ 84 ไร่ 1 งาน 21 ตารางวา มีอุโบสถ 2 หลัง

อุโบสถหลังเก่า

กว้าง 9.50 เมตร ยาว 17.50 เมตร บูรณะมาแล้วหลายครั้ง ภายในโบสถ์มีพระประธาน ปางสมาธิจำนวน 3 องค์ ซึ่งจากด้านหลังของพระพุทธรูป ทั้งสามองค์มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ยาว 3.50 เมตร เล่ากันว่ามีพระพุทธรูปทองคำอยู่ภายในองค์พระ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์

ปัจจุบันโบสถ์หลังเก่านี้กรมศิลปากรได้ประกาศ ขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ไว้เป็นโบราณสถานของชาติแล้ว

อุโบสถหลังใหม่

กว้าง 16 เมตร ยาว 24 เมตร วัดพระนางสร้าง สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2301 เกี่ยวข้องกับ ตำนานนางเลือดขาว เมืองนครศรีธรรมราช ที่เล่าสืบต่อกันมาว่านางเลือดขาวเป็นภรรยา เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ถูกเสนาบดีกลั่นแกล้ง ใส่ร้าย กล่าวหาว่าเป็นชู้กับมหาดเล็กโทษจะต้อง ประหารชีวิต แต่พระนางได้ขอผ่อนผันให้ไปนมัสการ พระบรมธาตุที่ศรีลังกาก่อน หลังจากนั้นจะกลับ มารับโทษประหารชีวิต ขากลับจากนมัสการ พระบรมธาตุพระนางได้แวะที่เกาะถลาง และสร้างวัด ขึ้นไว้แล้วเดินทางกลับไปรับโทษประหารชีวิต โลหิต ของประนางที่ไหลออกมามีสีขาวเป็นที่อัศจรรย์ จึงพากันเรียกพระนางว่า พระนาง เลือดขาว ส่วนวัดที่พระนางสร้างไว้เมื่อแวะที่เกาะถลางเรียกกันว่า วัดพระนางสร้าง แต่ชาวบ้านนิยมเรียกสั้นๆ ว่า วัดนางสร้าง



วัดพระทอง (วัดพระผุด)


วัดพระทอง (วัดพระผุด)


วัดพระทอง (วัดพระผุด)


วัดพระทอง ตั้งอยู่ที่ถนนเทพกระษัตรี ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต สิ่งที่สำคัญที่สุดของวัดนี้คือ พระทองหรือพระผุด ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารมีลักษณะ เป็นพระครึ่งองค์ ซึ่งประวัติความเป็นมาของวัดพระทอง และหลวงพ่อพระทอง หรือพระผุด มีดังนี้


เดิมที่สถานที่ที่ตั้งในปัจจุบันเป็นทุ่งกว้าง มีนา มีคลอง มีหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ ชาวบ้านเรียกว่าทุ่งนา นี้ว่า ทุ่งนาใน วันหนึ่งมีเด็กชายนำกระบือไปเลี้ยงที่ทุ่งนา ได้นำเชือกล่ามกระบือไปผูกไว้กับตอไม้ริมคลองที่มีโคลน ตมติดอยู่ แล้วเด็กชายคนนั้นก็กลับบ้านเกิดอาการ เป็นลมตายและกระบือที่ล่ามไว้กับตอไม้ก็ตายด้วยกัน ต่อมาพ่อของเด็กชายคนนั้นก็ฝันว่าการที่เด็กและกระบือตาย เพราะเด็กนำเชือกล่ามกระบือไปผูกไว้กับเกศพระพุทธรูป พ่อของเด็กชายคนนั้นก็ชวนเพื่อนบ้านไปขัดล้างตอไม้ริม คลองนั้น จึ่งเห็นเป็นลักษณะเหมือนเกศพระพุทธรูปและ เป็นทองคำ ชาวบ้านต่างพากันมาบูชาสักการะกันมากมาย เมื่อเจ้าเมืองทราบก็สั่งให้ทำการขุดพระพุทธรูปขึ้นมา ประดิษฐานไว้บูชา แต่ไม่สามารถขุดขึ้นมาได้เพราะบางคน ถูกตัวต่อ ตัวแตนอาละวาดเป็นพิษถึงแก่ความตาย เจ้าเมืองจึงสั่งให้ทำที่มุง ที่บังเป็นสถานที่กราบไหว้เรื่อยมา ชาวบ้านจึงเรียกว่ากันพระผุด เพราะเป็นพระพุทธรูปที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน เพียงพระเกศมาลา สูงประมาณ 1 ศอก ส่วนคนจีนเรียกว่า พระผุดว่า ภูปุ๊ค (พู่ฮุก) เพราะชาวจีนเชื่อกันว่าเป็นพระผุดมา จากเมืองจีน เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน คนจีนในภูเก็ต พังงา ตะกั่วป่า ท้ายเหมือง และกระบี่ จะพากันมานมัสการพระผุด เป็นประจำจนถึงทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น